เทศน์เช้า

ทัพพีขวางหม้อ

๒๙ ธ.ค. ๒๕๔๓

 

ทัพพีขวางหม้อ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องของศาสนา เรื่องของคน เวลาสัตว์ เห็นไหม สัตว์น่ะเหมือนคน สัตว์มันมีชีวิตเหมือนกัน มันแย่งกันด้วยสัญชาตญาณ แต่คนมันมีปัญญา คนมันเลยพลิกแพลงได้ เห็นไหม เวลาสัตว์มันมีปัญหากันน่ะมันก็แค่กัดกัน แต่คนมันหลอกกันมันหลอกกันถึงข้างในเลย

ความหลอกของคนหลอกถึงข้างใน นี่ปัญญาของคน ถึงว่านี่กิเลสมันร้ายร้ายตรงนี้ ร้ายตรงที่ว่าถ้าพูดถึงสัตว์ สัญชาตญาณมันก็ทำได้แค่นั้นใช่ไหม แต่คนมันพลิกแพลงน่ะ ความพลิกแพลงของคนเอารัดเอาเปรียบกันน่ะ นี่คนฉลาด ถึงว่าคนฉลาดแกมโกง ถ้าฉลาดแกมโกงฉลาดของกิเลส มันสร้างคุณงามความดีขนาดไหนนะ มันเพราะว่ามันโกงมันได้มา สิ่งที่มันได้มานี่มันก็สร้างอกุศลของมันไปด้วย เพราะมันโกงเขามา มันทำอะไรของมันไป นี่ฉลาดแกมโกง แต่โลกว่าฉลาด

แต่ถ้าเราคนซื่อไง คนซื่อ เห็นไหม เขาว่าคนโง่ ถ้าจะยอมรับว่าโง่ให้มันโง่อยู่ในธรรมไง เขาว่าคนโง่ คนที่ไม่เอารัดเอาเปรียบ คนโง่คนตรงนี่ อันนี้คนโง่ แต่มันทำเพื่ออะไรล่ะ เพื่อประโยชน์ของใคร แต่เราว่าเราฉลาดน่ะ แต่เราเก็บงำความคิดของเราไว้ข้างใน เห็นไหม ถึงว่าศาสนามันสอนได้ถึงความคิดของคนไง นี่ตัวศาสนาถึงสำคัญตรงนั้น

ถ้าไม่มีศาสนานะ มันยุ่งมากกว่านี้อีกตัวศาสนา ถ้าไม่มีศาสนามันก็ต้องคิดว่าความคิดของคนนี่ ต้องเอาความคิดมาเปรียบเทียบกัน แต่ถ้ามีศาสนา เอาศาสนามาเป็นตัวตั้งไง ศีล ๕ ศีลบังคับไว้อย่างไร ความมักน้อยสันโดษ มักน้อยสันโดษเพื่ออะไร? มักน้อยสันโดษในความผิดพลาด แต่ในความผิดไง ในความเห็นแก่ตัวนี่มักน้อยสันโดษ ในความบีบบี้สีไฟกัน

แต่จะให้มีความจงใจ เหยียบคันเร่ง เห็นไหม ถ้ามันเป็นธรรมน่ะ ผู้นำที่เป็นธรรม ทีนี้ว่าศาสนาเราสอนอย่างนี้แล้ว สอนไปว่าถ้ามีธรรมแล้วมันจะมีบุญกุศล ก็เลยการสร้างภาพกัน สิ่งที่สร้างภาพมันเลยเป็นสมมุติทั้งหมด เห็นไหม เป็นสร้างภาพกัน แต่ถ้าเป็นความเป็นจริงนี่ มันจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมัน

อย่างในพระไตรปิฎก ขุนคลังแก้ว จักรพรรดิเขาจะลองขุนคลังแก้วของเขา เขาไปถึงกลางแม่น้ำเลย จอดเรืออยู่ลำหนึ่ง เอาขุนคลังของเขาไปนั่งกัน ๒ คน บอกว่า “เอาตังค์มา” ขุนคลังแก้วนี่นะ เอามือล้วงไปในน้ำขึ้นมา มีทองคำขึ้นมา มีเงินขึ้นมาให้กับจักรพรรดิได้ ขุนคลังแก้วมันเป็นด้วยอำนาจวาสนาบารมี นี่ศาสนาพุทธบอกไว้ ในตำนานว่าไว้อย่างนั้น

แต่ทีนี้ของเราพอจะเล่นการเมืองขึ้นไปนี่ ว่าตัวเองมีบารมี ๆ บารมีอย่างนี้บารมีอะไร บารมีมันเป็นเงินซื้อขึ้นมาทั้งหมด มันไม่ใช่บารมีอย่างนั้น สมัยโบราณ เห็นไหม คนเราจะเป็นนักการเมืองหรือว่าคนเป็นหัวหน้าคนนี่ จะสมัครนี่ไม่ยอมสมัครนะ มีแต่ชาวบ้านขับเข็นให้เป็น พยายามที่จะให้เป็นขึ้นไป เพราะว่าเขาเห็นในคุณงามความดี

แต่นี่มันไม่มีคุณงามความดี เพราะมันโลก มันเป็นวัตถุนิยม เราเอาวัตถุเจริญขึ้นมา แล้วมันก็ไปขัดแย้งกับความสุขของใจ เวลาแสวงหาคิดแสวงหาแต่วัตถุกันมา แต่หัวใจขึ้นมามันก็แห้งแล้ง แต่ถ้ามันเป็นศาสนานี่ เห็นไหม ที่ว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” ให้มันพอเพียง ในหลวงเอาคำว่า “พอเพียง” ออกมา พอเพียงอย่างไร พอเพียงมันพอดีไง เรามีกินมีใช้

แล้วเวลาคนมีกินมีใช้นี่ ถ้าบอกว่าต้องสันโดษหมด แล้วคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีล่ะ คนที่เขามีอำนาจวาสนาบารมีเขาต้องหาได้อย่างนั้น มันมาโดยธรรมชาติของเขา คนที่มีบุญนี่มันจะมาเอง พอมาเองนี่เราจะปฏิเสธได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นคุณงามความดี แต่นี่มันคนไม่มีแต่มันอยากจะมี มันยุ่งตรงนี้ คนที่ไม่มีแล้วอยากจะมี พยายามทำอย่างนั้นขึ้นมาเพื่อให้มันยุ่งขึ้นมาไง

อันนี้มันถึงว่าปัญญาอันนี้ ถึงว่าศาสนาถึงสอนลงตรงนี้ ตรงที่ว่าให้เข้ามาตรงนี้ ให้ละอายใจของตัว ความละอายใจของตัวมันจะเข้ามาถึงใจของตัว ความละอายใจของตัวมันก็ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ความคิด เห็นไหม มโนกรรม คนจะทำความดีความชั่วมันต้องเริ่มต้นจากความคิดก่อน พอความคิดมันคิดอย่างไรแล้วมันก็ทำออกไป แล้วมันปกปิดกันนี่

ดูอย่างกฎหมายน่ะ เข้าได้แค่การกระทำ เห็นไหม แค่ว่ามีความผิดความถูก แต่ไม่มีกฎหมายว่าความคิดในหัวใจนี่คิดผิดแล้วเก็บไว้ในหัวใจมันไม่มี มันเข้าไม่ถึง เห็นไหม มันถึงต้องเอาศีลธรรมนี่เข้าไป ถูกต้องตามหลักของกฎหมายด้วย ถูกต้องตามศีลธรรมด้วย กฎหมายว่าถูกแล้วก็ถูกอยู่ แล้วศีลธรรมมันถูกไหม

นี่หลวงตาถึงได้ทำ ถ้าดึงกลับมา ๆ เขาว่าอันนี้เป็นการเมือง เป็นการเมืองอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็เพื่อให้ความถูกต้องขึ้นมา ความพลาดพลั้งไปของชาติมันเป็นไปแล้ว แต่ก่อน เห็นไหม ก่อนที่จะออกมานี่ ทุกคนว่าไม่ให้มายุ่ง ๆ ถ้าไม่มายุ่ง มันเป็นไปมากกว่านี้ เพราะอะไร? เพราะหลวงตามาค้ำไว้น่ะ ทางฝ่ายรัฐบาลเขาก็ไม่กล้าทำเกินกว่าเหตุ ถ้าไม่มาค้ำไว้มันจะถลำไปมากกว่านี้อีก

แต่นี่มันเหมือนที่ว่าคนทำอะไรอยู่ แล้วมีคนหนึ่งมองอยู่ แล้วเข้าใจ รู้ทันตัวเองนี่ รัฐบาลเขาก็ต้องยั้งคิดเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ยั้งคิดเขาจะไปมากกว่านี้ ต้องไปมากกว่านี้แน่นอนเลย นี่ประโยชน์สิ่งที่ทำเพื่อนามธรรมไง เพื่อไม่ต้องปิดทองหลังพระ ปิดทองไม่ให้ใครรู้เรื่องเลย

แต่มันเป็นการยับยั้ง เห็นไหม ยับยั้งตรงไหน? ยับยั้งไอ้ความคิดที่ว่าคิดจะทำกันนั่นน่ะ แต่ยังไม่ได้ทำออกมาน่ะอีกเท่าไหร่ พอถึงตอนนี้มันก็เสียหายไปขนาดนี้ ถ้ามันเสียหายนะคนมันเดินหลงทางนะ ถ้าเราเดินทางผิด แล้วเดินไปทั้งตัวน่ะ มันจะเสียหายขนาดไหน นี้เดินมาครึ่งตัวแล้วก็ยังเสียหายได้ขนาดนี้

แล้วเวลายับยั้งกันนี่ก็ตี ตอนออกมาก็ตี ตอนนี้ก็ตี เห็นไหม ว่าเป็นการเมือง จะเป็นการเมืองหรือไม่เป็นการเมืองมันเป็นนามธรรม มันเป็นความคิดน่ะ มันเป็นมโนกรรม กรรมอันนั้นมันทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ ถ้าคนมันหมดไปแล้วน่ะ หลงผิดไง นี่กิเลสเป็นแบบนั้น กิเลสคือไม่มีเหตุไม่มีผล ตัวเองคิดว่าตัวเองถูก แล้วตัวเองนี่ทำไป พอตัวเองทำไปแล้วตัวเองก็ถลำไป ๆ เพราะมันคิดว่ามันถูกไง นี่อวิชชา รู้แต่ไม่จริง รู้ว่าทำอย่างนั้นน่าจะเป็นอย่างนั้น ๆ แต่รู้ไม่รอบ

แต่ผู้ที่รู้รอบนี่ ยับยั้งไว้ ๆ ก็อ้างเหตุว่าการเมืองเพราะอะไร? เพราะปุถุชน การเมืองนี่สังคม กฎหมายนี่เขียนขึ้นมา อะไรก็เป็นการเมืองหมด ระหว่างพ่อกับแม่ก็ได้ ถ้าพูดว่าเป็นการเมืองมันก็เป็นการเมืองเหมือนกัน เพราะอะไร? เพราะพ่อแม่กับลูกนี่เป็นการเมือง การเมืองที่มันต่อรองกันไง อย่างเด็กอ่อน เห็นไหม มันก็ต่อรอง มันต้องร้อง ร้องเพื่อเรียกร้องความสนใจ นี่ถ้าตีเป็นการเมืองมันก็เป็นการเมือง ในเมื่อเราจะตีการเมือง

แต่มันต้องให้ความเป็นธรรมด้วย ว่าทำเพื่อประโยชน์ของใคร ถ้าทำนี่ทำเพื่ออะไร เราเห็นนี่ เราพูดทุกคนน่ะอยากรู้อยากช่วย แต่ทำไม่ได้ เพราะว่าอะไร? เพราะเรามีความรับผิดชอบใช่ไหม เราก็เสียวของเรา เราก็กลัวของเรามีปัญหาใช่ไหม ทุกคนน่ะอยากจะให้เป็นคนดี แต่มันไม่กล้าทำ

แต่ในเมื่อหลวงตานี่ทุ่มไปทั้งชีวิต เขาจะโจมตีขนาดไหนก็ให้เขาโจมตีไป นี่โลกธรรม ๘ โลกธรรม ๘ มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้ถ้าเราทำได้เราก็ทำได้ ถ้าเราทำไม่ได้เราก็ไม่ควรขวาง ถ้าเราทำไม่ได้นะ เราควรให้กำลังใจภายใน แต่นี่จะขวางเขาไปหมดได้อย่างไร คนเขาจะทำคุณงามความดีก็ไปขวางเขา ๆ ทำไมไปขวางเขาเพื่ออะไร นี่ทัพพีอยู่ในหม้อแกงก็ไม่รู้รสของหม้อแกง เห็นไหม ในเมื่อมันไม่รู้รส มันไม่เข้าใจ มันกินไม่เป็น

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไปขวางเขา มันก็เหมือนทัพพีขวางหม้อ มันไม่เป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย ในเมื่อมันต้องให้งานนี้มันก้าวเดินออกไป ความคิดในใจก็ต้องเป็นความคิดในใจ เก็บไว้ในใจก่อน ทีนี้งานเป็นงาน ในเมื่อทำงานเป็นงานมันเรื่องของกรรมนะ เรื่องของกรรมการฝืนกรรมนะ

อย่างที่ว่าเวลาล่มนี่ ล่มทั้งหมดเลย นี่สภาคาบัติ ประเทศไทยนี้ทำไมมีกรรมทั้งประเทศเลย สภาคาบัติคือว่ามันเป็นร่วมกันทั้งหมด ใครไม่อยากเป็นมันก็ต้องรับกรรมไปร่วมกันทั้งหมดเลย แล้วพอไปถึงประเทศไทย ย้อนออกไปถึงเอเชียสิ เอเชียนี่ล่มไปทั้งเอเชียเลย นี่เป็นสภาคาบัติ ทุกคนเป็นอาบัติ

แต่ในขณะมีความทุกข์ขึ้นมา มันก็มีเศรษฐีเกิดในนั้นเป็นส่วนน้อย ในเศรษฐีคือว่าคนที่ไปฉกฉวยผลประโยชน์ระหว่างธุรกิจขณะนั้นมันก็มี คนที่เกิดขึ้นมาจากตรงนี้ก็มี เห็นไหม ถ้าเป็นสภาคาบัตินี่คนที่มันล่มไปหมด มันก็ต้องทุกข์ยากกันไปหมด ต้องไม่มีใครสามารถได้ประโยชน์จากตรงนั้นเลยสิ ทำไมบางคนมีประโยชน์จากตรงนั้นล่ะ?

นี่กรรมมันถึงไม่แน่นอนไง เราจะตัดสิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปไม่ได้ เพราะมันเรื่องของกรรม เมื่อก่อน เห็นไหม ที่ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์นี่ ลัทธิคอมมิวนิสต์ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ นี่ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ถูกต้อง มันเป็นตกขอบไปฝ่ายหนึ่ง ทุนนิยมก็ตกขอบไปอีกฝ่ายหนึ่ง

แต่พุทธศาสน์ เห็นไหม ธุรกิจทางศาสนา ที่ว่าให้อยู่ได้ให้ยั่งยืนนี่ มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะว่าเราไปกระทุ้งกิเลสกัน พระพุทธเจ้าสอนให้กำจัดกิเลส เห็นไหม ให้มีความเห็นใจ ให้มีความเมตตากัน ความเมตตาเวลาประกอบธุรกิจขึ้นมานะ ธุรกิจนี้ไม่มีการเมตตา ธุรกิจนี้มันเป็นผลประโยชน์มากที่สุด นี่ไปกระทุ้งกิเลสนี้เป็นทุนนิยม ทุนนิยมนี้เรื่องของฟูกิเลส ให้กิเลสฟูโลกมันจะได้เจริญขึ้นมา

สิ่งที่โลกเจริญขึ้นมาเพราะว่าการเราขับเคลื่อนให้กิเลสมันขับเคลื่อนออกไป แต่ในเมื่ออันนี้ก็ผิดพลาด ในการคอมมิวนิสต์ก็ผิดพลาด ทุกคนต้องจนเหมือนกันหมด ทุกคนต้องเป็นอย่างนั้นหมด มันเป็นไปไม่ได้ไง มันเป็นไปไม่ได้ถึงว่าต้องมาเรื่องของศาสนา ในพุทธศาสน์นี่สำคัญที่สุด ว่าให้คนมีความเห็นใจ มีความเข้าใจ มีความเมตตา ความเมตตาก็เหมือนกับคอมมิวนิสต์ เห็นไหม มีความเมตตาคือว่าเจือจานกัน

แต่เจือจานกันด้วยกฎระเบียบมันคนไม่ยอมรับ ถ้าเราศีลธรรม เราให้คนได้มีความเมตตาในหัวใจ เหมือนที่ว่าทุนนิยมก่อนที่เขามานี่ เขาต้องกลืนกินทางวัฒนธรรมก่อน ให้เห็นว่าการเสพอย่างเขาเป็นความสุขไง การเสพแบบทุนนิยมของเขานั้นจะมีความสุขมาก ต้องเสพอย่างนั้น ต้องอยู่อย่างเขา เห็นไหม

แล้วประเทศอันสมบูรณ์ล่ะ เราเกิดในประเทศอันสมบูรณ์ บ้านเราไม่ต้องปลูกอย่างนั้นก็ได้ เราปลูกของเราทรงไทยก็ได้ ความใช้จ่ายน่ะเราไม่ต้องใช้อย่างนั้นเราก็มีความสุขของเราได้ ความสุขคือความสุขใจ ศาสนาสอนว่าความสุขคือครอบครัวนี้ พ่อแม่ลูกยิ้มแย้มแจ่มใส นั้นคือบุญกุศล คือความสุข

แต่ทุนนิยม ความสุขคือว่าต่อยอดของตัวเลขขึ้นมาให้มากเท่าไหร่ตรงนั้นถึงจะเป็นผลงานของเขา แต่เขาไม่ได้มองว่า ความสุขในสุขใจน่ะสุขใจของเรา แล้วเราอยู่ เห็นไหม สมัยเราอยู่คูคลองมันจะมีความสุขมากขนาดไหน ร่มเย็นขนาดไหน แต่เราไปมองว่าชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตไม่มีความสุข เพราะอะไร? เพราะเขาให้ค่าทางวัฒนธรรมไปแล้วไง ถ้ามีความสุขต้องอยู่บ้านอย่างนั้น ๆ ตามของเขา

แล้วเราก็ทิ้งตรงนี้ ทิ้งบุญกุศลของเรา เกิดในประเทศอันสมควร ที่อยู่ในประเทศนั้นมีความสุข เราทิ้งวัฒนธรรมอย่างนั้น เพื่อจะอยู่แบบฝรั่งไง อยากอยู่แบบฝรั่ง เราก็ต้องขวนขวายหาแบบฝรั่งไง นี่ศาสนามันเน้นย้ำตรงนี้ว่า ประเทศใดก็แล้วแต่ในโลกนี้ เกิดตรงไหน ถ้าเราหาความสุขได้ในตรงนั้นน่ะ มันก็ว่าเราเกิดด้วยกรรม

เราจะเคลื่อนย้ายน่ะ การเคลื่อนย้ายของมนุษย์ เคลื่อนย้ายไป อันนั้นก็เป็นว่าเขามีความพอใจอย่างนั้น เป็นความเชื่อไง โดนหลอกไง ความเชื่อว่าเคลื่อนย้ายไปอยู่ในวัฒนธรรมอย่างนั้นแล้วจะมีความสุข ไม่มีความสุขหรอก มันฝืนกับความรู้สึก ความรู้สึกใครออกจากบ้านไป คิดถึงบ้าน คิดถึงแหล่งที่อยู่ของตัวเอง

แต่เพราะว่าเราคิดเอาเอง เห็นไหม เราคิดเอาเองแล้วเราไม่ช่วยกัน พอเราไม่ช่วยกันน่ะเราก็ต้องแสวงหาอย่างนั้น ถ้าเราช่วยกันนี่ แล้วใครเป็นผู้นำ? หลวงตาออกมาเป็นผู้นำ เราก็คิดออกมาว่า เราช่วยเต็มที่เลย แต่ทำได้แค่นี้เพราะอะไร? เพราะเรามีความสามารถแค่นี้ เราไม่สามารถจะไปเรียกร้องเอาจากใครได้ ไม่สามารถจะเรียกร้องให้คนนั้นช่วยเหลือได้ แต่เราช่วยเหลือด้วยกำลังใจทั้งหมด แล้วถ้ามีความสามารถเท่าไหร่ทุ่มให้ทั้งหมด

แต่เราไม่ได้ไปขวางหรอก แล้วเราจะไปขวางกันทำไม เราจะทำงานแล้วเราจะไปขวาง มันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ไม่มีประโยชน์สิ่งใด ๆ เลย หูก็ให้เป็นหูมนุษย์ เห็นไหม ไม่ใช่หูตะกร้าอย่างนั้นน่ะไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แล้วมันจะขวางแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น เราต้องร่วมมือกัน ถึงความจะว่าบางอย่างไม่ถูกใจ ต้องเก็บไว้ในหัวใจ

ดูอย่างร่างกายของเราสิ มือนี่มันบอกว่ามันนี่เสียเปรียบที่สุดเลย จะกินอาหารก็ต้องใช้มือ จะทำอะไรก็ใช้มือ มือนี่เป็นสิ่งที่ว่าไม่ได้เสพอะไรเลย แต่ต้องเอาให้คนอื่น ปากนี่เอาเปรียบที่สุดเลย อยู่เฉย ๆ ได้แต่กิน ๆ เห็นไหม นี่แม้แต่ร่างกายมันยังเสมอภาคกันไม่ได้เลย หน้าที่เป็นหน้าที่ อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราทำไม่ได้เราก็ต้องอยู่ของเราสิ แต่เราจะไปขวางคนอื่นได้อย่างไร เราไม่กินจะปิดปากคนอื่นไม่ให้คนอื่นกิน เป็นไปไม่ได้

ฉะนั้นว่าตรงนี้ต้องย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาที่เราแล้ว ถ้าความเห็นของเราไม่มีความเห็น คือเห็นแล้วไม่เห็นด้วย ก็เก็บไว้กรณีนี้ แต่กรณีที่ช่วยชาติ เห็นไหม กรณีที่ว่ายกทั้งหมดขึ้นมานี่ ถ้ายกได้เราต้องเห็น แล้วดูกัน กาลเวลาพิสูจน์กันว่า ถ้ากระบวนการนี้จบแล้วใครจะถูกใครจะผิด เอวัง